ประเพณีชักพระเป็นประเพณีทพราหมณ์ศาสนิกชนและพุทธศาสนิกชนปฏิบัติสืบต่อกันมา
สันนิษฐานว่าประเพณีนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอินเดีย
ที่นิยมเอา เทวรูปออกแห่ในโอกาสต่าง
ๆ ต่อมาพุทธศาสนิกชนได้นำเอาคติความเชื่อดังกล่าวมาปรับปรุงให้สอดคล้องกับความเชื่อทางพุทธศาสนา
ประเพณีชักพระเล่ากันเป็นเชิงพุทธตำนาน
ว่า
หลังจากพระพุทธองค์ทรงกระทำยมกปาฏิหารย์ปราบเดียรถีย์
ณ ป่ามะม่วง กรุงสาวัตถี
แล้วได้เสร็จไปจำพรรษา ณ
ดาวดึงส์เพื่อโปรดพุทธมารดา
ซึ่งขณะนั้นทรงจุติเป็นมหามายาเทพ
สถิตอยู่ ณ
ดุสิตเทพพิภพตลอดพรรษา
พระพุทธองค์ทรงประกาศพระคุณของมารดาแก่เทวสมาคมและแสดงพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดา
7 คัมภีร์ จนพระมหามายาเทพและเทพยดา
ในเทวสมาคมบรรลุโสดาบันหมด
ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11
อันเป็นวันสุดท้ายของพรรษา
พระพุทธองค์ได้เสด็จกลับมนุษยโลกทางบันได
ทิพย์ที่พระอินทร์นิมิตถวาย
บันไดนี้ทอดจากภูเขาสิเนนุราชที่ตั้งสวรรค์
ชั้นดุสิตมายังประตูนครสังกัสสะ
ประกอบด้วยบันไดทอง
บันไดเงินและบันไดแก้ว
บันไดทองนั้นสำหรับเทพยดา
มาส่งเสด็จอยู่เบื้องขวาของพระพุทธองค์
บันไดเงินสำหรับพรหมมาส่งเสด็จอยู่เบื้องซ้ายของพระพุทธองค์
และบันไดแก้วสำหรับพระพุทธองค์อยู่ตรงกลาง
เมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาถึง
ประตูนครสังกัสสะตอนเช้าตรู่ของวันแรม
1 ค่ำ เดือน 11
ซึ่งเป็นวันออกพรรษานั้น
พุทธศาสนิกชนที่ทราบกำหนดการเสด็จกลับของพระพุทธองค์จากพระโมคคัลลานได้มารอรับเสด็จ
อย่างเนืองแน่นพร้อมกับเตรียมภัตตาหารไปถวายด้วย
แต่เนื่องจากพุทธศาสนิกชนที่มารอรับเสด็จมีเป็นจำนวนมากจึงไม่สามารถจะเข้าไปถวายภัตตาหารถึงพระพุทธองค์ได้ทั่วทุกคน
จึงจำเป็นที่ต้องเอาภัตตาหารห่อใบไม้ส่งต่อ
ๆ
กันเข้าไปถวายส่วนคนที่อยู่ไกลออกไปมาก
ๆ จะส่งต่อ ๆ กันก็ไม่ทันใจ
จึงใช้วิธีห่อภัตตาหารด้วยใบไม้โยนไปบ้าง
ปาบ้าง ข้าไปถวายเป็น
ที่โกลาหล
โดยถือว่าเป็นการถวายที่ตั้งใจด้วยความบริสุทธิ์ด้วยแรงอธิษฐานและอภินิหารแห่งพระพุทธองค์
ภัตตาหารเหล่านั้นไปตกในบาตรของพระพุทธองค์ทั้งสิ้น
เหตุนี้จึงเกิด ประเพณี "ห่อต้ม"
"ห่อปัด" ขึ้น
เพื่อเป็นการแสดงถึงความปิติยินดีที่พระพุทธองค์เสด็จกลับจากดาวดึงส์
พุทธศาสนิกชน
ได้อัญเชิญพระพุทธองค์ขึ้นประทับบนบุษบกที่เตรียมไว้
แล้วแห่แหนกันไปยังที่ประทับของพระพุทธองค์
ครั้นเลยพุทธกาลมาแล้วและเมื่อมีพระพุทธรูปขึ้น
พุทธศาสนิกชนจึงนำเอาพระพุทธรูปยกแห่แหนสมมติแทนพระพุทธองค์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น